คุณสมบัติและการเลือกใช้กระจก
กระจกมีคุณสมบัติโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกได้ ทั้งยังเพิ่มความสวยงามให้กับงานด้วยคุณสมบัตินี้กระจกจึงถูกนำไปใช้ในการทำผนังภายนอกอาคาร ทั้งกระจกยังเป็นวัสดุสำเร็จรูป ที่ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ปัจจุบันจึงนิยมใช้กระจกในการทำผนังภายนอกของอาคารแทนผนังทบซึ่งมีความยุ่งยากในการก่อสร้างมากกว่า และยังก่อให้เกิดความโปร่งโล่งทั้งในแง่ของทัศนียภาพและแสงสว่างต่อผู้ใช้อาคาร ในทางกลับกันกระจกที่เป็นวัสดุโปร่งใสนอกจากจะให้แสงสว่างจากธรรมชาติภายนอกเข้ามาภายในอาคารแล้วยังนำความร้อนจากแสงแดดเข้ามาอีกด้วย ดังนั้นการเลือกใช้กระจกแต่ละประเภทให้ถูกต้องกับการใช้งานทั้งในแง่ของคุณสมบัติ การประหยัดพลังงาน และความสวยงามไปพร้อม ๆ กัน
กระจกสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะการผลิตได้ ได้ 6 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 กระจกแผ่น (Sheet Glass) คือ กลุ่มกระจกพื้นฐานที่มีการผลิตที่ไม่ซับซ้อน โดยหลอมกระจกผ่านรางรีด ส่งผลให้ผิวกระจกไม่เรียบมีลักษณะเป็นคลื่นและให้ภาพสะท้อนมีลักษณะบิดเบี้ยว ความแข็งแรงต่ำ ผิวกระจกเป็นรอยขูดขีดได้ง่าย มีราคาถูก แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ กระจกใส กระจกสี และกระจกฝ้า การนำไปใช้งานเนื่องจากกระจกแผ่นมีพื้นผิวที่ไม่เรียบ ส่งผลให้ภาพที่สะท้อนบิดเบี้ยวไม่สวยงาม การนำไปใช้งานจึงมักนำไปใช้ในงานที่ไม่เน้นความสวยงามมากนัก เช่น งานหน้าต่างบ้านอยู่อาศัย เครื่องเรือน กรอบรูป ผนังกระจก
กลุ่มที่ 2 กระจกโฟลต (Float Glass) คือ กลุ่มของกระจกพื้นฐานก่อนมีการดัดแปลงเป็นกระจกประเภทอื่น ๆ การผลิตเกิดจากการหล่อโดยให้น้ำกระจกไหลลอยบนผิวดีบุก จึงทำให้การผลิตและการควบคุมคุณภาพค่อนข้างยาก แต่กระจกที่ได้มีความโปร่งแสงสูง ฟองอากาศน้อยกว่าประเภทแรก ทนทานต่อรอยขีดขูด และพื้นผิวเรียบสนิททำให้ได้ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ผลิตกระจกประเภทนี้ไม่มาก โดยกระจกในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยกระจก 2 ชนิด
ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
2.1 กระจกโฟลตใส (Clear Float Glass) คือ กระจกที่ได้จากการหลอมซิลิก้าสารประกอบต่าง ๆด้วยอุณหภูมิที่สูงเพื่อให้ละลายเป็นของเหลวซึ่งจะเรียกของเหลวนี้ว่าน้ำแก้ว จากนั้นจะทำการลอยน้ำแก้วบนหน้าโลหะ แล้วดึงให้กลิ้งไปในแนวนอน ซึ่งวิธีการผลิตนี้เองจึงเป็นที่มาของการเรียกกระจกที่ผลิตจากกรรมวิธีนี้ว่า Float Glass
2.2 กระจกโฟลตสีตัดแสง (Tinted Float Glass) คือ กระจกที่มีการผลิตเหมือน Clear Float Glass แต่จะมีการผสมออกไซด์ของโลหะลงในเนื้อกระจกขณะทำการหลอม ส่งผลให้เกิดเป็นกระจกสีต่าง ๆ ซึ่งออกไซด์ของโลหะแต่ละชนิดจะให้สีที่แตกต่างกัน จากการผสมออกไซด์ของโลหะเข้าไปในกระจก ส่งผลให้มีการสะสมความร้อนภายในกระจกได้มาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้กระจกแตกได้ง่าย ซึ่งวัตถุประสงค์ในการผลิตกระจกชนิดนี้ คือ เพื่อความสวยงามใช้ในการประดับตกแต่ง ทั้งยังลดแสงแดดที่จะส่องผ่านเข้ามาภายในอาคารโดยตรง ช่วยให้เกิดความสบายตาต่อผู้ใช้อาคาร
กลุ่มที่ 3 กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass) คือ กลุ่มของกระจกที่มีวิธีการผลิตโดยนำเอากระจก Clear Float Glass มาผ่านกรรมวิธีการอบและทำให้เย็นอีกครั้ง เพื่อให้เกิดคุณสมบัติในการรับแรงและความแข็งแรงของผิวกระจกมากขึ้นกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาที่เท่ากัน โดยกระจกในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยกระจก 2 ชนิด ดังต่อไปนี้
3.1 กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered SafetyGlass) คือกระจกที่มีการผลิตโดยนำกระจก Clear Float Glass มาอบความร้อนอีกครั้ง เมื่อกระจกอ่อนตัว แล้วทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยการเป่าลมเย็นทั้ง 2 ด้าน ซึ่งทำให้กระจกประเภทนี้สามารถรับแรงได้มากกว่ากระจก Clear Float Glass ที่ความหนาเท่ากันได้ 5-10 เท่า และสามารถรับแรงดึงและดัดงอได้มากกว่ากระจก Clear Float Glass ประมาณ 3 เท่า แต่ทนแรงกระทำแบบ Point Load ได้น้อย จึงไม่สามารถทำการตัดหรือเจาะได้ เมื่อแตกจะเป็นเม็ดเล็กไม่คม (ลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวโพด) ร่วงหล่นออกมาจากกรอบทั้งหมด
3.2 กระจกกึ่งนิรภัย (Heat Strengthened Glass) นำกระจก Clear Float Glass มาอบความร้อนอีกครั้ง เมื่อกระจกเริ่มอ่อนตัว ก็จะลดอุณภูมิเพื่อทำให้เย็นลงอย่างช้า ๆ จากกรรมวิธีการผลิตลักษณะนี้ส่งผลให้กระจกประเภทนี้สามารถรับแรงได้มากกว่ากระจก Clear Float Glass ถึง 2-3 เท่า ในกระจกที่มีความหนาที่เท่ากัน ผิวของกระจกจะแข็งขึ้นประมาณ 10% ส่งผลให้ เมื่อแตกจะมีลักษณะเป็นปากฉลามยึดติดอยู่กับกรอบ ไม่ร่วงหล่นเหมือนกระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safety Glass)
กลุ่มที่ 4 กระจกเคลือบผิว หรือกระจกสะท้อนแสง (Surface coated glass) คือ การนำกระจก Clear Float Glass ไปปรับปรุงผิว โดยเคลือบออกไซด์ของโลหะ เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้กระจกประเภทนี้จะมีความเงามันวาว ซึ่งสามารถแบ่งการเคลือบผิวออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
- Hard coat คือการเคลือบโลหะที่ผิวกระจก Clear Float Glass ให้เป็นเนื้อเดียวกับกระจก โดยการอบกระจกด้วยความร้อน เมื่อกระจกเริ่มอ่อนตัวจะโรยผงออกไซด์ของโลหะลงบนผิวของกระจก
ที่อ่อนตัว เพื่อให้เป็นเนื้อเดียวกับผิวของกระจก ซึ่งข้อเสียของกระจกเกิดจากการผลิต คือ สีและการสะท้อนแสงของกระจกที่ถูกเคลือบจะไม่สม่ำเสมอกันตลอดทั้งแผ่น
- Soft coat คือการนำกระจก Clear Float Glass ไปเคลือบสารโลหะเพื่อแต่งผิว โดยการพ่นผงออกไซด์ของโลหะเคลือบทับลงบนพื้นผิวของกระจกเท่านั้น ซึ่งข้อเสียของกระจกที่เกิดจากกระบวน
การผลิตคือ สารที่เคลือบกระจกจะไม่ทนทานต่อการขูดขีด มักนิยมนำไปประกอบเป็น Laminated Glass หรือ Insulated Glass การเคลือบผิวทำให้สามารถสะท้อนแสงและคลื่นความร้อนบางส่วน
ของแสงแดดได้ดีในขณะที่กระจกยังคงความใสอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมักใช้กระจกประเภทนี้ในงานที่เน้นการประหยัดพลังงานเป็นหลัก ในการติดตั้งจะต้องมีการพิจารณาการติดตั้งด้านให้ถูกต้อง โดยการ
หันด้านที่มีการเคลือบเข้าภายในอาคาร
กลุ่มที่ 5 กระจกดัดแปลง (Processed Glass) คือกลุ่มของกระจกที่นำเอากระจกชนิดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาประกอบกัน โดยนำเอากระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป นำมาประกอบกันเพื่อให้เกิดคุณสมบัติที่ผู้ใช้งานต้องการ ซึ่งเป็นการรวมเอาข้อดีของกระจกแต่ละชนิดเข้าไว้ด้วยกัน ในทางกลับกันอาจเป็นการลดข้อเสียของกระจกบางประเภทได้อีกด้วย
กลุ่มที่ 6 กระจกเพื่อใช้งานเฉพาะทาง(Application glass) คือกระจกที่ดัดแปลงเพื่อให้ได้คุณสมบัติเมหาะสมให้เข้ากับการใช้งานเฉพาะอย่าง หรือเพื่อก่อให้เกิดความสวยงาม โดยการผลิตกระจกประเภทนี้จะเป็นการรวมเอากระจกและวิธีการต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้แล้วมาผสม หรือดัดแปลงเพื่อให้ได้คุณสมบัติตามที่ผู้ใช้งานต้อง เช่น กระจกทนไฟ กระจกเสริมลวด (Wired Glass) หรือ กระจกลาย (Pattern Glass) เป็นต้น